ถ้าครู “หยุด” เรียนรู้ ... ครูก็ต้อง “หยุด” สอน..!?!
โดย รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
โลกยุคการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ซึ่งเป็นยุคที่ “ความรู้คือพลัง คืออำนาจ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กร และหน่วยงานต่างๆ ล้วนต้องการทรัพยากรมนุษย์ที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ไม่เว้นแม้แต่แวดวงการศึกษา ก็ต้องการ “ครู” ที่ไม่หยุดเรียนรู้เช่นกัน...
การใฝ่หาความรู้ของครูในยุค KM นั้น ไม่ใช่มีการใฝ่หาความรู้เชิงวิชาการเท่านั้น แต่จำเป็นต้องใฝ่หาความรู้แบบรอบด้าน เนื่องจาก “ครู” เป็นทั้ง “คัมภีร์ที่มีชีวิต” ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายทอด “ความรู้ที่ชัดแจ้ง” (Explicit Knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น หนังสือตำราเรียน ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็น “ความรู้แบบรูปธรรม”
นอกจากนั้น ยังเป็น “ตัวจักร” ที่ผลักดันให้ “ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคล” (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ โดยบางครั้งเรียกว่าเป็น “ความรู้แบบนามธรรม” ได้ถูกนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้น “ครูมืออาชีพยุค KM” จึงต้องเป็นได้มากกว่าผู้ถ่ายทอดความรู้ จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาดูงานด้านการศึกษากับคณะของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ TDA (Training and Development Agency for Schools) ซึ่งเป็นหน่วยงานฝึกและพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาของประเทศอังกฤษ ทำให้สรุปได้ว่ากรอบลักษณะของ “ครูอุดมคติ” นอกจากจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กแล้ว ยังควรเป็นบุคคลที่มีความยุติธรรม มีความน่าเคารพเชื่อถือ และเป็นกำลังใจให้เด็กในการเรียนรู้ และแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิต โดยครูจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการเพิ่มเติมองค์ความรู้ตลอดเวลา และประพฤติตนเป็น “ต้นแบบ” ของการคิดดี ทำดี พูดดี
การอบรมสั่งสอนเด็กจะให้ได้ผลนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชนที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก เพื่อให้เด็กมีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับพัฒนาการ โดยวิธีการเรียนแบบมีส่วนร่วม ( Collaborative Learning) ถือเป็นวิธีที่สามารถพัฒนาความรู้ ทักษะในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำงานร่วมกับผู้อื่น
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับครู คงหนีไม่พ้นการพัฒนาศักยภาพของตนเอง โดยเฉพาะการรู้จักสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการสอนในรูปแบบใหม่ๆ เปิดใจให้กว้างพร้อมที่จะรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และนำคำวิจารณ์เหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการสอนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เด็ก
เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติของ “ครู” ก็คงต้องพูดตรงตรงว่าการเป็น “ครูตามทฤษฎี” เป็นเรื่องที่ทำได้ยากซะยิ่งกว่ายาก โดยเฉพาะการเป็น “ครูไทย” ในยุค “ข้าวแพงแต่เงินเดือนน้อย” ที่ต้องผจญกับสภาวะ “ปากกัดตีนถีบ” ที่ลำพังจะเอาตัวเองให้รอดก็แสนจะยากเย็น แล้วยังต้องมาแบกรับภาระอันหนักหน่วงจากการดูแลเยาวชนของชาติ ก็คงต้องบอกว่าครูยุคนี้ต้องมี “จิตวิญญาณของความเป็นครูแบบเข้มข้นสุดสุด”...
แม้การเป็น “พ่อพิมพ์ แม่พิมพ์” จะยากลำบาก แต่เมื่อเลือกเป็น “ครู” ก็ต้องไม่หยุดเรียนรู้ เพราะหาก “หยุด” เรียนรู้ ก็คงไม่ต่างจากการหมดคุณค่าของการเป็น “ครู”...
แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจริงก็ควร “หยุด” สอนไปเลยจะดีกว่า..!!
ที่มา - สยามรัฐ 24/4/2551
ขอบคุณที่มา: วารสารเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้บนโลกออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น